ไม้ลามิเนต หรือพื้นไม้ลามิเนต เป็นไม้สังเคราะห์ที่ประกอบด้วย 4 ชั้น คือ ชั้นเคลือบ ชั้นของผิวไม้หรือลายไม้ ชั้นแกนกลาง และชั้นแผ่นเมลามีน
พื้นไม้ลามิเนตมีลวดลายให้เลือกมากมาย มีน้ำหนักเบา ผิวหน้าทนทานต่อรอยขีดข่วน ติดตั้งง่ายรวดเร็ว เข้าใช้งานได้ทันที ทนไฟและสารเคมี รื้อแก้ไขปูซ้ำใหม่ได้ง่าย พื้นไม้ลามิเนตมีราคาถูกกว่าไม้จริงมาก แต่ข้อเสียของพื้นไม้ลามิเนตคือ ไม่สามารถทำการขัดผิวหน้าออกแล้วย้อมสีใหม่ได้เหมือนกับไม้จริง ต้องระวังเรื่องความชื้น ทนต่อแรงกระแทกได้ในระดับนึง และมีอายุการใช้งานเพียง 10-15 ปี
พื้นไม้ลามิเนตที่ผลิตกันทั่วไปจะมีความหนา 8 มิล และความหนา 12 มิล ซึ่งการปูพื้นไม้ลามิเนตต้องติดบัวเชิงผนังเสมอ เพื่อป้องกันการขยายตัวของพื้นไม้ลามิเนต แต่หน้างานที่มีติดบัวเชิงผนังอยู่แล้ว ก็สามารถปูพื้นไม้ลามิเนตโดยใช้บัวเชิงผนังเดิมได้
พื้นไม้ลามิเนตต้องปูบนพื้นที่มีความแตกต่างของระดับไม่เกิน 3 มิล ซึ่งก่อนปูพื้นไม้ลามิเนตจะต้องทำการตรวจเช็คระดับพื้นก่อน
พื้นไม้ลามิเนตสามารถติดตั้งในหน้างานหลายหลายประเภท เช่น ปูพื้นไม้ลามิเนตในห้างสรรพสินค้า หรือ ปูพื้นไม้ลามิเนตแทนพิ้นเดิมในอาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน้างานที่ต้องการความสวยงามของพื้น เพื่อดึงดูดลูกค้า และรื้อถอนได้ง่าย ไม่ทำลายพื้นผิวเดิม
นอกจากพื้นไม้ลามิเนตแล้วก็ยังมีวัสดุสำหรับตกแต่งบันไดที่เป็นไม้ลามิเนตเช่นเดียวกัน ได้แก่ ลูกนอนบันไดเคลือบผิวลามิเนต (MDF) และลูกนอนบันไดเคลือบผิวลามิเนต รุ่นกันปลวก
ไม้เอ็นจิเนียร์ หรือพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ คือไม้ที่ทำการปรับคุณสมบัติให้มีความเหมาะสมทั้งด้านความคงทนและความสวยงาม โดยใช้ผิวไม้จริงที่มีความหนา 3-4 มม.นำมาอัดประสานกับไม้อัดด้วยน้ำกาวคุณภาพสูงจนมีความหนารวม 14 มิล เคลือบผิวด้วย UV Acrylic Lacquer
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีราคาถูกกว่าไม้จริง แต่แพงกว่าพื้นไม้ลามิเนตประมาณ 2-3 เท่า ซึ่งราคาของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะแปรผันตามมูลค่าของชนิดผิวหน้าไม้ที่นำมาผลิต เช่น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ผิวหน้าไม้โอ๊ค พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ผิวหน้าไม้สัก เป็นต้น
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ติดตั้งง่าย ไม่ต้องขัดสีไม้หน้างาน สามารถเปลี่ยนเฉพาะแผ่นกรณีชำรุดเสียหายได้ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีข้อเสียคล้ายกับพื้นไม้ลามิเนตที่มีอายุการใช้งานสั้นกว่าไม้จริง ไม่สามารถขัดผิวหน้าทำสีใหม่ได้ เพราะความหนาของหน้าไม้น้อย
กระเบื้องยางลายไม้ หรือกระเบื้องไวนิลลายไม้ เป็นกระเบื้องยางชนิดหนึ่งที่ทำลวดลายให้เหมือนไม้จริง ผลิตจากพลาสติก PVC ไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อราและปลวก ทนไฟ ทนต่อรอยขีดข่วน มีความยืดหยุ่นสูง ทำความสะอาดง่าย
กระเบื้องยางลายไม้ทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นปูกาว และรุ่นคลิ๊กล็อก กระเบื้องยางลายไม้รุ่นปูกาวราคาถูกกว่า ต้องปูบนพื้นที่เรียบได้ระดับ ถ้ามีปัญหาต้องรื้อปูใหม่เท่านั้น ไม่ทนต่อน้ำขัง ส่วนกระเบื้องยางลายไม้รุ่นคลิ๊กล็อกติดตั้งได้ง่ายกว่า สามารถเปลี่ยนเฉพาะแผ่นที่มีปัญหาได้ ข้อเสียของกระเบื้องยางลายไม้คือ ผิวสัมผัสไม่ใช่ไม้จริง ต้องระวังปัญหาเรื่องการหดตัวจากอากาศเย็น ทำให้เกิดร่องระหว่างแผ่นได้ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีกระเบื้องยางลายไม้รุ่นลดแรงกระแทก (Shock absorption floor) ที่เหมาะกับสังคมผู้สูงอายุในบ้านเรา
กระเบื้องยางลายไม้สามารถปูบนพื้นใหม่ หรือปูบนพื้นเดิมได้ เช่น ปูทับกระเบื้องแกรนิตโต้ ปูทับพื้นไม้จริง ในบางกรณีอาจมีความจำเป็นที่จะต้องรื้อพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้เดิมออกและปูพื้นกระเบื้องยางลายไม้รุ่นคลิ๊กล็อคทดแทน
1. หลังคาไวนิลและหลังคาเมทัลชีทมีน้ำหนักค่อนข้างเบา ทำให้ประหยัดโครงสร้าง ซึ่งสามารถติดตั้งแบบมีเสาเข็มหรือไม่มีเสาเข็มก็ได้
2. หลังคาไวนิลมีความหนามากกว่าหลังคาเมทัลชีทเป็นอย่างมาก จึงเสียรูปทรงได้ยาก และมีความยืดหยุ่นมากกว่าเมทีลชีท ทำให้ทนแรงกระแทกได้ดีกว่า
3. หลังคาไวนิลมีราคาสูงกว่าหลังคาเมทัลชีท (สนใจเช็คราคาติดตั้งเบื้องต้น คลิ๊ก)
4. หลังคาไวนิลและหลังคาเมทัลชีทมีความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหรือมีแดดจัด และทนต่อการผุกร่อนหรือการเกิดสนิมอีกด้วย
5. หลังคาไวนิลสามารถกันความร้อนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ภายใต้หลังคานั้นเย็นสบาย แต่หลังคาเมทัลชีทจำเป็นที่จะต้องมีการบุฉนวนกันความร้อนเพิ่มอีกชั้น หรือจะอาศัยการออกแบบมาช่วยให้ใต้หลังคาไม่ร้อนได้
6. หลังคาไวนิลสามารถช่วยเก็บซับเสียงเวลาฝนตกได้เป็นอย่างดี ส่วนหลังคาเมทัลชีทจะมีปัญหาเสียงดังเวลาฝนตก
7. อายุการใช้งานของหลังคาไวนิลและหลังคาเมทัลชีทมากกว่า 10 ปี
8. หลังคาไวนิลและหลังคาเมทัลชีทติดตั้งง่าย รวดเร็ว ประหยัดค่าแรงช่าง แต่หลังคาเมทัลชีทแนะนำให้ติดตั้งบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท
นอกจากแผ่นหลังคาไวนิลและหลังคาเมทัลชีทที่นิยมใช้กันในปัจจุบันนั้น ก็ยังมีแผ่นหลังคาอีกหลายประเภทให้เลือกตามความต้องการของผู้ใช้งาน เช่น หลังคาอะคริลิคโปร่งแสง SHINKOLITE, หลังคาโพลีคาร์บอเนต, และหลังคาไฟเบอร์กลาส